Friday, August 17, 2012

วิธีดูกระเป๋า "หลุยส์" (Louis Vuitton) ว่าของแท้ หรือของปลอม

How to know a fake Louis Vuitton bag?

แบรนด์กระเป๋าดังระดับโลก หลุยส์ วิตตอง หรือที่บ้านเราเรียกกันสั้น ๆ ว่า "กระเป๋าหลุยส์" หรือ "LV" หรือ "หลุยส์ วิตตอง" (Louis Vuitton) เป็นหนึ่งในผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องหนังอันดับแรก ๆ ของโลก

โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จำพวกกระเป๋าหนังสุดหรูที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถือว่าเป็น Luxury Handbag ที่อยู่ในกลุ่ม Premium Brand ที่ได้รับความนิยมสูงมากจากสาวๆ (หรือหนุ่มๆ) ทั่วโลก จนกลายเป็นสินค้าติดอันดับต้นๆ ที่มักถูกเลียนแบบและพบของปลอมหรือของ เก๊บ่อยที่สุด และเหมือนที่สุด (ปลอมเหมือนจนกระทั่งใบเสร็จและแพ็กเกจจิ้ง) สำหรับใครที่ชื่นชอบสไตล์การออกแบบของกระเป๋าหลุยส์ (Louis Vuitton) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่กำลังมองหากระเป๋าหลุยส์ของแท้มาไว้ในครอบครอง…ห้ามพลาดค่ะ เพราะเราได้รวบรวมวิธีตรวจสอบกระเป๋าหลุยส์ของแท้ มาฝากค่ะ ลองมาเช็คกันดูนะค่ะ ว่าของแท้ๆ ต้องดูแบบหลักๆ ตรงไหนกันบ้าง



วิธีดูกระเป๋า "หลุยส์ วิตตอง" (Louis Vuitton) ว่าของแท้ หรือ ของปลอม

1. ลอง Search หาหน้าตาของรุ่นที่เป็นของแท้หรือ Model สินค้า หรือราคารุ่นที่ต้องการ

ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการฝึกดูว่ากระเป๋าของแท้ กับของปลอมต่างกันอย่างไร ดูจาก Online Store ประเภทที่ขายพวก Luxury Handbag หรือสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจาก Internet ลอง Search เปรียบเทียบดูกับพวก fake handbag Brand ต่างๆ เพราะบางทีกระเป๋าแต่ละรุ่นจะมี คุณสมบัติที่แตกต่างกันไป รวมถึงของที่ปลอมอาจจะมีบางส่วนที่แก้ไขให้เหมือนของจริงมากขึ้น ทำให้ดูยาก ต้อง Update ข้อมูลใหม่ๆ เสมอ และเพื่อเป็นการทดสอบสายตาเราได้เป็นอย่างดีเลยละค่ะ

2. คุณจะต้องรู้จักกับนโยบายของ Louis Vuitton มาพอสมควร ว่าตั้งแต่เริ่มมา คศ.1854 นั้น

- กระเป๋า LV ของจริงไม่เคยลดราคา หรือขายสินค้าขายลดราคาสินค้ามีตำหนิจากโรงงาน ..เด็ดขาด!! เพราะสินค้ามีตำหนิจะถูกเรียกคืนเอากลับไปทำลายทั้งหมด

- กระเป๋า LV ไม่มี outlets หรือบริษัทย่อยใดๆ ทั้งสิ้น

- กระเป๋า LV ไม่มีขายส่ง คุณจะซื้อกี่ใบก็ราคานั้นอย่างเดียว และห้ามซื้อซ้ำกันเกิน 2 ใบ (เพราะที่ช็อปเองก็ถูกจำกัดจำนวนสินค้ามาจากบริษัทแม่ เหมือนกัน) และที่สำคัญ รุ่นที่ทำเป็น limited นั้น ราคาจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตามวันและเวลา ที่ผ่านไป หรือถ้าเราใช้รักษาดีๆ ซื้อมาราคาไหน แทบจะ 100 % จะขายได้ราคานั้นคะ

- กระเป๋า LV แท้จะไม่มีการห้อยหรือติด tag มากับกระเป๋า หรือไม่เคยเอาถุงพลาสติก / กระดาษ / ทิชชู  คลุมสายกระเป๋า



3. กระเป๋า LV ของแท้ จะไม่มีการห้อย หรือ ติด tag มากับกระเป๋า ซึ่งแบรนด์ดังๆ อย่าง chloe /coach ก็จะไม่ทำเช่นกัน แต่จะเก็บอย่างดีในช่องกระเป๋า (pocket) หรือมากับซองใบเสร็จ ถ้าเป็นของแท้ คุณจะได้ 2 Tax คือ

- Tax ใบที่ 1 เขียนว่า "Louis Vuitton what is the bag is made of whether it s monogram canvas, vernis, epi etc"

- Tax ใบที่ 2 เป็น model number ซึ่งจะตรงกับที่อยู่ที่กระเป๋า และที่บาร์โค็ต และมี care booklet (คู่มือดูแลรักษา)จะอยู่กับรุ่นที่มีราคาสูง หรือถ้าซื้อจาก shop แล้วให้ส่งเป็นพัสดุมา ก็จะมี thank you card ให้ด้วย ดังตัวอย่างด้านล่าง

4. ทางที่ดี เพื่อไม่ให้โดนหลอก ควรจะต้องรู้จักไปถึงผู้ขาย

ถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุดคือ ซื้อในบูติกของ LV หรือห้างไฮเอนด์ ที่มีช็อปของ LV หรือ Online Store ที่เชื่อถือได้ (ควรต้องทำการ research หลายๆเว็บที่ขายพวก Luxury Handbag หรือสินค้าในกลุ่มอื่น ๆ ที่เรากำลังมองหา และสังเกตว่ามีคนพูดถึงเว็บนั้นๆ อย่างไร) หรือต้องรู้จักเจ้าของมาก่อนบ้าง จะบอกไว้เลยว่า LV แท้หรือไม่แท้นั้น จะต้องมีสิ่งดังต่อไปนี้... เพราะคนเล่น LV ร้อยละ 99% จะเก็บใบเสร็จ และ กล่อง หรือใบรับประกันไว้ทั้งนั้น เพราะทั้งหมดนี้มีค่าตอนขายต่อคะ เพราะถ้าเค้าเบื่อ หรืออยากเปลี่ยนใหม่ สามารถเอามาฝากขายได้ ใบเสร็จกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง เค้าจะมีการใส่ซองจดหมายมาให้อย่างดี เพราะเวลาจะเอาไปขายต่อมันจะง่าย เหมือนมีหลักฐานเป็นอย่างดี

5. ดูจากลายพิมพ์/ ลายที่เป็นสัญลักษณ์ของ LV (Monogram) จะถูกวางตรงไหน

เพราะกระเป๋า LV จะใส่ใจในวิธีการวาง Monogram เหล่านี้มาก ตัวอย่างกระเป๋าปลอม เช่น รุ่นลายไม้ลายพิมพ์จะไม่คมชัด หรือลายพิมพ์ตารางหมากรุกจะพิมพ์ต่อกันไม่สนิทพอดี หรือต่อกันไม่เนี้ยบเหมือนของแท้ ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย อาจไปดูจากของเพื่อนที่ซื้อของจริงมาก่อน จากตัวอย่างด้านล่าง เป็นกระเป๋า LV แต่ละรุ่นที่เปรียบเทียบระหว่างของปลอมกับของแท้ ด้านซ้ายเป็นกระเป๋าของปลอม ด้านขวากระเป๋าของแท้ ดังรูป
6. ดูจากขนาด  เพราะของเลียนแบบแม้รุ่นเดียวกันแต่ขนาดจะต่างกันเล็กน้อย คือ ใบจะใหญ่กว่าหรือไม่ก็เล็กกว่าเสมอ เพราะขนาดของแท้จะต้องเป็นไซต์มาตรฐานกำหนดไว้โดยเฉพาะ

7. ดูจากสี  สีของของลอกเลียนแบบส่วนใหญ่มักจะเพี้ยนไปจากของแท้ เช่น สีของหนังโมโนแกรม ถ้าเราเคยเห็นของจริงจนคุ้นตา แล้วได้เห็นของปลอมที่ไม่ปลอมได้ไม่เนียนมากก็จะมองเห็นความแตกต่างได้ทันที

8. ดูจากซิป
ให้ทดลองรูดเปิดปิดดู ซึ่งของลอกเลียนแบบเวลาเปิดแล้วจะรู้สึกสะดุดไม่ลื่นเท่าที่ควร นอกจากนี้การวางซิปของกระเป๋าของแท้จะทำให้เปิดและหยิบของได้เหมาะและสะดวกมือ แต่ของปลอมจะทำไว้แคบๆ หยิบของไม่ถนัด และบางครั้งจะพบว่าซิปที่ใช้ไม่ได้ทำจากสแตนเลสแท้ และที่สำคัญตรงกลางของหัวซิปในบางรุ่น (เช่น Neverfull , Speedy) จะต้องสังเกตุดีๆ จะต้องมีตัวพิมพ์เป็นตัวอักษรคล้ายอักษร Y

9. ดูจากซับใน  ซับในของปลอมจะเป็นคล้ายๆ หนังกลับสีออกเทาๆ ไม่ออกน้ำตาล (คล้ายๆ สีของเห็ด) จะไม่เรียบร้อย การเย็บตะเข็บจะไม่เนี้ยบเท่าของจริง เหมือนมีรอยยับพับซ้อนอยู่ของผ้าซับใน แล้วเนื้อผ้าของก๊อปปี้จะไม่แน่นเท่าของแท้ ถ้าของปลอมอาจจะลองถูๆ ดูซับใน ถ้ารู้สึกว่าเคลื่อนๆผ้าประมาณว่าออกหลวมๆ นั่นก็อาจจะเป็นของปลอมได้

 ของปลอม

ของแท้

10. ดูที่ฝีเข็มการเย็บ และ ช่องว่างต้องสม่ำเสมอ เพราะ LV จะระวังเรื่องนี้มาก เช่น ที่หูหิ้วสองข้างของกระเป๋าหลุยส์ฯ รุ่น Speedy มักจะมี 5 ฝีเข็ม ทุกมุม เป็นต้น

11. กระเป๋าหลุยส์ วิตตอง ในยุคหลังอาจไม่ได้ Made in France เสมอไป  เพราะปัจจุบัน มีกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง บางส่วนถูกผลิตในอเมริกา สเปน เยอรมนี และอิตาลี

12. ซีรีส์นัมเบอร์ (Date Code) ที่บอก วัน เดือน ปีที่ผลิต ซึ่งของแท้ทุกใบจะมี แบบ font ของแท้จะค่อนข้างสวย ไม่หนาเตอะหรือเบี้ยวบูด อันนี้อาจจะดูจากของแท้ซักใบนึงแล้วจำไว้ว่า เป็น font ประมาณไหน แล้วจำให้ดี ซึ่งกระเป๋าแต่ละรุ่นจะซ่อนไว้ไม่เหมือนกัน ต้องลองหาดูโดยส่วนใหญ่จะเป็นป้ายเล็กๆ ซ่อนเอาไว้ โดยจะขึ้นต้นด้วยภาษาอังกฤษ 2 ตัว ตามด้วยตัวเลขอีก 4 ตัว ซึ่งเช็ครหัสภาษาอังกฤษ 2 ตัวแรกได้ว่ากระเป๋าของคุณผลิตที่ประเทศไหนจากตารางข้างล่างนี้ ถ้ารหัสของกระเป๋าคุณไม่ตรงตามนี้ ถือว่าปลอม ส่วนตัวเลขสี่ตัวหลังนั้น จะบอกเดือนและปีผลิตของกระเป๋า โดยตัวที่ 1 กับตัวที่ 3 จะเป็นการบอกสัปดาห์ที่ผลิต (week) ส่วนตัวที่ 2 กับตัวที่ 4 จะเป็นการบอกปีผลิต เช่นจากในรูปด้านขวามือนี้ กระเป๋าหลุยส์ใบนี้จะผลิตในประเทศฝรั่งเศษ สัปดาห์ที่ 26 ปี 2008

** ซึ่งวิธีการดูเดือนผลิตตัวที่ 1 กับตัวที่ 3 ว่าเป็นสัปดาห์ที่เท่าไหร่นั้นใช้ได้กับกระเป๋ารุ่นที่ผลิตหลังจาก มกราคม 2007 เท่านั้น เพราะก่อนหน้านั้น Louis Vuitton ใช้ตัวเลขตัวที่ 1 กับตัวที่ 3 เป็นการบอกเดือนที่ผลิต เช่นรูปซ้ายมือนี้เป็นกระเป๋าของปี 2002 ฉะนั้นตัวที่ 1 กับ ตัวที่ 3 ของใบนี้จึงเป็นการบอกเดือนที่ผลิต ซึ่งก็คือเดือนที่ 10 นั่นเอง


** แต่สมัยนี้ของปลอม เขาทำ Date Code เอาไว้เกือบหมด ดังนั้น เราต้อง "ดูความลึกตื้น และการวางตำแหน่งแทน" ตัวอย่างดังรูป

รูปที่ 1 (ภาพซ้าย) ของแท้
รูปที่ 2 (ภาพขวา) จะเห็นว่า date code ของเขาจะอยู่ติดชิดขอบล่างเกินไป ของปลอมชัวร!!!



ตาราง date code ของแต่ละประเทศที่ผลิต


13. ดูจากใบการันตี  เมื่อได้ใบการันตีก็สามารถโทรเช็กที่ช็อปได้เลย ว่าสินค้านัมเบอร์นี้ซื้อวันที่เท่านี้เป็นของจริงหรือไม่

14. จากกลิ่น กระเป๋า louis vuitton ถ้าเป็นลาย Monogram กับลาย Damier จะมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์อันหอมหวนของหนัง ซึ่งของก๊อป ถ้าก๊อปเกรดตํ่าๆ จะเป็นกลิ่นพลาสติกอย่างชัดเจน แต่ถึงจะก๊อปปี้เกรดA ก็จะกลิ่นคนละอย่างกับของแท้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีกระเป๋าหลุยส์อยู่ในมือ อาจจะลองดมกลิ่นของมันให้คุ้นเคย เวลาเจอกระเป๋าแล้วได้กลิ่นของมันโชยมา ก็ทราบแล้วว่าแท้หรือก๊อปปี้

15. ดูจากถุงผ้า กระเป๋า louis vuitton ทุกรุ่นจะมีถุงผ้าด้วยเสมอ ก่อนปี 2004 จะเป็นถุง cotton flannel 100 % นุ่ม เป็น "สีน้ำตาล" ไม่ใช่ สีน้ำตาลแดง ดังตัวอย่างด้านล่าง ด้านซ้ายปลอม ด้านขวาของแท้ และของแท้จะพิมพ์ แค่ LV เท่านั้นค่ะ

ของปลอม (ภาพซ้าย)                          ของแท้ (ภาพขวา)


** แต่หลังจากปี 2004 กระเป๋า louis vuitton ได้เปลี่ยนถุงใหม่ เป็น ถุงผ้า "สีเหลืองครีม"  พิมพ์ คำว่า "LOUIS VUITTON" ตรงด้านหน้า (เท่านั้น) และตรงก้นของถุงผ้าจะมีป้ายเล็กๆอยู่ โดยป้ายนั้นจะต้องเขียนว่า“Made in India” เท่านั้น ถึงจะเป็นถุงแท้ โดยเนื้อผ้าของกระเป๋าก็จะต้องไม่บางและดูหยาบๆด้วย แต่จะต้องดูเนียนมีราคา โดยถ้าคุณเจอป้ายก้นถุงผ้าถ้าไม่ได้พิมพ์ว่า Made in India หรือว่าไม่มีป้ายเลย ก็อาจเดาในเบื้องต้นได้แล้วว่าเป็นถุงผ้าปลอม ขึ่งถ้าขนาดถุงยังปลอม ตัวกระเป๋าก็คงยากที่จะแท้เหมือนกัน
ของแท้

16. ใช้ความรู้สึกและประสบการณ์ สำหรับแฟนพันธุ์แท้ที่ใช้กระเป๋าหลุยส์ของแท้เป็นประจำคงไม่เป็นปัญหาในการแยกแยะ เพราะเคยสัมผัสอยู่เป็นประจำ

*** แน่นอนว่าบริษัทแม่อย่าง LVMH เองก็ต้องตระหนักถึงปัญหาข้อนี้ดี ทั้งยังมีการตั้งทีมทนายสำหรับจัดการกับปัญหาของลอกเลียนแบบโดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อความแน่ใจ 100% แนะนำให้ซื้อกับร้านสาขาของหลุยส์ วิตตองเองจะดีกว่า หรืออาจจะสั่งสินค้าได้โดยตรงผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทหลุยส์ วิตตองก็ได้


ขอบคุณข้อมูลจาก: 
http://xn--108-dkl0ixb9era8jte.blogspot.com/
http://www.louissecondhand.com 

Friday, August 3, 2012

มารู้จักคำว่า "พอชช์" และ "ครูซ" ในวงการแฟชั่นกันเถอะ (Posh and Cruise)

เชื่อได้ว่าในชีวิตนี้คุณคงเคยได้ยินหรือเคยรู้จักคำว่า "Posh (พอชช์)" อยู่บ้าง ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ติดตามโลกแฟชั่นหรือโลกดารา โดยเฉพาะดารา Hollywood แล้วหละก็ อย่างน้อยๆ คุณคงรู้จัก วิกทอเรีย แคโรไลน์ เบคแคม (Victoria Caroline Beckham) หรือเรียกสั้นๆ ว่า "วิกทอเรีย เบคแคม (Victoria Beckham)" 

Victoria Beckham อดีตสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ปที่ดังที่สุดในโลกอย่าง "สไปซ์เกิร์ลส (Spice Girls)" ซึ่งฉายาของเธอก็คือ "Posh Spice" นั่นเอง และที่เธอได้ฉายานี้มาก็เพราะว่าเธอขึ้นชื่อในเรื่องของการทำตัวเป็นคุณนาย หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ดี มีสไตล์ เริ่ดหรูแบบเว่อร์ที่สุดชีวิต ไม่ว่าการแต่งกายและการใช้ชีวิต ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เธอจึงเป็นผู้นำแฟชั่นลำดับต้นๆ ของโลกนี้เลยทีเดียวค่ะ


Posh (พอชช์)

เริ่มตั้งแต่ช่วงที่บริษัทเดินเรือยักษ์ใหญ่ P & O  หรือ Peninsular and Orient Steam Navigation Company ให้บริการเดินเรือระหว่างประเทศอังกฤษและอินเดียในช่วงปี 1842-1970 ซึ่งทั้งประเทศอังกฤษและอินเดียนั้นต่างตั้งอยู่ทางซีกโลกเหนือ ดังนั้นเมื่อเดินทางไปฝั่งตะว้นออกจากอังกฤษไปอินเดียที่นั่งโดยสารฝั่งซ้ายที่เรียกว่า “Port (Out)” จะเป็นฝั่งที่ร่ม แดดไม่ร้อน นั่งสบาย ส่วนขากลับที่นั่งในฝั่งตรงข้ามที่เรียกว่า “Starboard (Home)” จะเป็นฝั่งที่ร่มแทน ดังนั้น ที่นั่งที่เรียกว่า Port Out, Starboard Home จึงเป็นที่ต้องการของเศรษฐีทั้งหลาย และก็มาพร้อมกับราคาที่สูงด้วย จึงเป็นที่มาของคำว่า “POSH” ที่แปลว่า “เริ่ด หรู” นั่นเองค่ะ

Cruise (ครูซ)

อีกคำที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ในการเดินทางพักผ่อนที่คุ้นจากสื่อแฟชั่น  ก็คือ คำว่า “Cruise Collection” ที่เป็นคอลเลคชั่นสำหรับการเดินทางพักผ่อนในที่ที่มีอากาศอุ่นสบาย โดยหลีกหนีจากความหนาวในช่วงปลายปี โดยเน้นการล่องเรือ เพราะ “Cruise” นั้นมาจากภาษาฝรั่งเศส “Croisière” (ครัว-ซิ-แยร์) ที่แปลว่า “ล่องเรือ” นั่นเอง



info credit: http://thelistshow.com/2011/09/21/posh-and-cruise/

Friday, July 27, 2012

RÉNERGIE YEUX MULTIPLE LIFT จาก LANCOME “เรนเนอร์จี เยอ มัลติเพิล ลิฟท์”

RÉNERGIE YEUX MULTIPLE LIFT
“เรนเนอร์จี เยอ มัลติเพิล ลิฟท์” จาก LANCOME

ที่สุดแห่งการดูแลผิวรอบดวงตาทั้ง 6 ประการ


ลังโคม ได้คิดค้นพัฒนาผลิตภัณท์เพื่อดูแลผิวรอบดวงตา ออกมาเป็นชุดผลิตภัณฑ์ RÉNERGIE ซึ่งได้รับแรงบรรดาลใจจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยลังโคม โดยจะช่วยลดเลือนและป้องกันการเกิดริ้วรอยรอบดวงตาทั้ง 6 ประการ คือ




1. รอยย่นจากการขมวดคิ้วนิ่วหน้าที่มองเห็นได้
2. คิ้วตก
3. เปลือกตาบนหย่อนคล้อย
4. ริ้วรอยและรอยตีนกา
5. รอยบวม
6. รอยคล้ำ



RÉNERGIE YEUX MULTIPLE LIFT จาก LANCOME นี้ผสานส่วนผสม 2 สูตรประกอบด้วยเนื้อครีมและทรีตเมนท์ โดยมีการทำงาน 6 ประการเพื่อให้รอบดวงตาดูอ่อนกว่าวัย

1. ผิวรอบดวงตารู้สึกกระชับขึ้น

Rénergie Yeux Multiple Lift cream มีกลุ่มสาร GF-Volumetry Complex เป็นส่วนประกอบสำคัญซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเสริมบำรุงทุกปัจจัยที่มีส่วนในการสื่อสารของเซลล์* และยังประกอบด้วยโอลิโกเป๊ปไทด์ R.A.R.E. ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงเนื้อเยื่อค้ำจุนของผิว*อีกด้วย

2. ผิวเปลือกตารู้สึกราว ‘ยกขึ้น’

Rénergie Yeux Multiple Lift cream เสริมคุณค่าด้วยสารสกัดจากอาร์แกน (Argan) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการช่วยกระชับผิว สารสกัดจากอาร์แกนนี้เป็นโพลีเมอร์ธรรมชาติจากน้ำมันล้ำค่า มีสรรพคุณกระชับผิวประกอบด้วยส่วนที่เข้มข้นด้วยโปรตีนซึ่งเข้ากับผิวได้ดี มอบผลลัพธ์ซึ่งมองเห็นได้ในทันที ผลลัพธ์เหล่านี้ได้รับการยืนยันในการศึกษาเชิงคลินิกกับรอยตีนกา
ผิวรู้สึกกระชับแน่นขึ้น ราวกับ ‘ยกขึ้น’ ด้วย Rénergie Yeux Multiple Lift

3. รอยตีนกาลดเลือน

สารสกัดจากอาร์แกนและ GF-Volumetry Complex ใน Rénergie Yeux Multiple Lift cream ปฏิบัติการเติมเต็มซึ่งกันและกัน เพื่อมอบประสิทธิภาพการกระชับบนผิวชั้นนอกสุด พร้อมเสริมการฟื้นบำรุงความเอิบอิ่มในชั้นผิว

4. รอบดวงตากระจ่างใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เพื่อการฟื้นบำรุงความกระจ่างใส สถาบันวิจัยลังโคมกำหนดสูตรผสมซึ่งผสานเม็ดสีเข้ากับอนุภาคออยล์ที่ช่วยให้ผิวนุ่มและชุ่มชื้น เพื่อให้ได้มาซึ่งความสว่างใสโดยไม่ดูหนักหรือไม่เป็นธรรมชาติ เฉดสีอเนกประสงค์ปรับปรุงสีผิวทุกระดับอย่างเป็นธรรมชาติ เนื้อออยล์เข้ากับผิวได้ดีเยี่ยม ขณะที่สีก็เข้ากันได้ดีกับสีผิวทุกระดับ เพื่อปรับสีรอบดวงตาให้กลมกลืน พร้อมมอบความรู้สึกสบายผิวอย่างยิ่ง

5. ความหย่อนคล้อยลดลง

สูตรผสมนี้มีสารสกัดจากคาเฟอีน ซึ่งมีส่วนช่วยลดความหย่อนคล้อย ทั้งยังมีวิตามินอีซึ่งช่วยปกป้องผิวบอบบางรอบดวงตา

6. รอยคล้ำจางลง

Rénergie Yeux Multiple Lift cream มีส่วนผสมที่อุดมด้วยฟลาโวนอยด์  อะมิโน แอซิด และเป๊ปไทด์ที่สามารถลดสีของรอยคล้ำ ช่วยปรับระดับม่านแห่งความสว่างใสให้ดวงตา เพื่อความเปล่งปลั่งที่ฟื้นคืนมาอีกครั้ง



Credit:  LANCOME Thailand

Friday, July 20, 2012

สุดยอดผลิตภัณฑ์ความงามประจำปี จาก Marie Claire Beauty Awards 2012

"สุดยอดผลิตภัณฑ์ความงามยอดเยี่ยม ที่ผู้หญิงไม่ควรพลาด" กับ รางวัลสุดยอดผลิตภัณฑ์ความงามประจำปี 2012 (Marie Claire Beauty Awards 2012)

นิตยสาร Marie Claire จัดงานประกาศผลรางวัล "Marie Claire Beauty Awards 2012 Presented by Central/ZEN" ประกาศผลสุดยอดผลิตภัณฑ์ความงามยอดเยี่ยมแห่งปี รางวัลของคนไทยเพื่อผู้หญิงไทยโดยเฉพาะ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2555 ที่โรงแรม สยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ ที่ผ่านมา

บรรยากาศในงานจัดด้วยความเรียบหรู พร้อมมีบรรดาแขกผู้มีเกียรติ  เหล่าคนดังเข้าร่วมงาน เป็นเกียรติเพื่อเฟ้นหาผลิตภัณฑ์ความงามอันทรงคุณค่าอย่างคับคั่ง โดยมีเซเลบริตี้และศิลปินดาราพร้อมใจกันเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นผู้ประกาศผล สุดยอดผลิตภัณฑ์ความงามยอดเยี่ยมแห่งปี 2012 อาทิ ลูกเกด-เมทินี กิ่งโพยม, โอปอล์-ปาณิสรา พิมพ์ปรุ, โมเม-นภัสสร บูรณศิริ, เป็ด-อภิชาติ นรเศรษฐาภรณ์, แนน-ชลิตา เฟื่องอารมย์ ฯลฯ และแขกรับเชิญที่มีชื่อเสียง อาทิ คุณหญิงฟิโนล่า จาฎามระ, ดร.พักตร์พิไล ทวีสิน, ดร.ขวัญ หารทรงกิจพงษ์, สุพรทิพย์ ช่วงรังษี, เอื้อง-สาลินี ปันยารชุน, กาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ, ไก่-สมพร ธิรินทร์, สุธีศักดิ์ ภักดีเทวา, เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร, โอ๋-หทัยรัตน์ เจริญชัยชนะ, พลอย หอวัง, หมู-จุฬาลักษณ์ ปิยะสมบัติกุล, ฮั่น และตูมตาม The Star, น้ำแข็ง เจมส์ และแม็ค AF, เอส-กันตพงศ์ บำรุงรักษ์ ฯลฯ
สำหรับการประกาศรางวัล "Marie Claire Beauty Awards 2012 Presented by Central/ZEN" นับเป็นปีที่ 2 ของรางวัลอันทรงเกียรติที่สุดของเมืองไทย ที่มีการตัดสินรางวัลผลิตภัณฑ์ความงามยอดเยี่ยมโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ที่เชี่ยวชาญด้านความงามโดยเฉพาะ

งานนี้จึงไม่พลาดที่จะเก็บ "สุดยอดผลิตภัณฑ์ความงามยอดเยี่ยม ที่ผู้หญิงไม่ควรพลาด" มาฝากกันด้วยค่ะ

รางวัลสุดยอดผลิตภัณฑ์ความงาม ประจำปี 2012 
(Marie Claire Beauty Awards)
รางวัลที่มอบให้กับผลิตภัณฑ์ความงามดีเด่น โดยการตัดสินของคณะกรรมการมากประสบการณ์ในแวดวงความงาม ตามหมวดและสาขาต่างๆ รวมทั้งสิ้น 18 รางวัล

1. รางวัลสุดยอดผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื่นผิวกาย (Best Body Lotion) ได้แก่ Jergens Overnight Repair Nightly Restoring Moisturizer จาก Jergens

2. รางวัลสุดยอดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกาย (Best Body Wash) ได้แก่ Crème Brulee Honey Bath จาก Laura Mercier

3. รางวัลสุดยอดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมือและเท้า (Best Hand & Feet Nourishing) ได้แก่ Pomegranate Hand Therapy จาก Crabtree&Evelyn

4. รางวัลสุดยอดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า (Best Cleanser) ได้แก่ Dior Prestige Satin Clarifying Foam จาก Dior

5. รางวัลสุดยอดผลิตภัณฑ์บำรุงดูแล เส้นผม (Best Hair Care) ได้แก่ Ever Pure Shampoo จาก L'Oréal Paris

6. รางวัลสุดยอดผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม (Best Hair Styling) ได้แก่ Extra Control Salon Finish Mousse จาก Tresemmé

7. รางวัลสุดยอดครีมบำรุงผิวรอบดวงตา (Best Eye Cream) ได้แก่ Rénergie Yeux Multiple Lift จาก Lancôme

8. รางวัลสุดยอดอายไลเนอร์ (Best Eyeliner) ได้แก่ Larger Than Life Long-Wear Eyeliner จาก Nars

9. รางวัลสุดยอดมาสคาร่า (Best Mascara) ได้แก่ Lash Architect 4D จาก L'Oréal Paris

10. รางวัลสุดยอดครีมรองพื้น (Best Foundation) ได้แก่ Diorskin Forever Fluid Foundation จาก Dior

11. รางวัลสุดยอดแป้งผสมรองพื้น (Best Two-Way Foundation Powder) ได้แก่ Diorskin Forever Compact จาก Dior

12. รางวัลสุดยอดผลิตภัณฑ์เติมเต็มร่องผิวก่อนแต่งหน้า (Best Primer) ได้แก่ Foundation Primer สูตร Radiance จาก Laura Mercier

13. รางวัลสุดยอดลิปบาล์ม (Best Lip Balm) ได้แก่ Lip Active จาก Eucerin

14. รางวัลสุดยอดลิปคัลเลอร์ (Best Lip Color) ได้แก่ Rouge Allure Velvet จาก Chanel

15. รางวัลสุดยอดผลิตภัณฑ์ชะลอริ้วรอย (Best Anti-Aging) ได้แก่ Sublimage La Crème - Texture Fine จาก Chanel

16. รางวัลสุดยอดครีมกันแดด (Best Sunscreen) ได้แก่ Perfect Sun Block Every Sun Day จาก Dr.Jart+

17. รางวัลสุดยอดผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใส (Best Whitening) ได้แก่ White Lucent Intensive Spot Targeting Serum+  จาก Shiseido

18. รางวัลสุดยอดผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นผิวหน้า (Best Moisturizer) ได้แก่ Hydro Boost จาก Neutrogena

......................................................................................................................................................

รางวัลพิเศษ จากนิตยสารแมรี แคลร์ ประเทศไทย 
(Marie Claire Special Awards)

รางวัลพิเศษประจำปีที่เกิดจากการคัดสรรโดยกองบรรณาธิการของนิตยสารแมรี แคลร์ ประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 7 รางวัล

1. รางวัลผลิตภัณฑ์ความงามหรือแคมเปญตอบแทนและช่วยเหลือสังคม (More Than A Pretty Face) ได้แก่ Brown Sugar Scrub  จาก Urtekram

2. รางวัลผลิตภัณฑ์ความงามสัญชาติไทยทรงคุณค่า (Thai Prestige) ได้แก่ Shiso Facial Serum จาก Thann

3. รางวัลผลิตภัณฑ์ความงามเทคโนโลยีล้ำสมัย (Hi-Tech Heroes) ได้แก่ Whitening Spots Specialist จาก SK-II

4. รางวัลผลิตภัณฑ์ความงามหรือแคมเปญส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Best Eco-Friendly) ได้แก่ แคมเปญ "World Oceans Day & La Mer Save the Sea" จาก La Mer

5. รางวัลผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลลัพธ์น่าประทับใจ (Most Impressive Performance)
ได้แก่ Lunasol Palette Concealer จาก Kanebo
Shadow Insurance Eye Shadow Primer จาก Too Faced
Optimals Oxygen Boost Capsules จาก Orifame

......................................................................................................................................................

รางวัลผลิตภัณฑ์ความงามยอดนิยม จากผู้อ่านนิตยสาร แมรี แคลร์ ประเทศไทย 
(Marie Claire Reader's Choice Awards)

รางวัลที่ตัดสินโดยผู้อ่านนิตยสารแมรี แคลร์ ประเทศไทยและสาวๆ ที่ชื่นชอบความงาม ในกิจกรรม Marie Claire Beauty Awards On-Location ณ 3 ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ได้แก่ 25-27 พฤษภาคม ณ ห้างเซน 2-3 มิถุนายน ณ ห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้า และ 9-10 มิถุนายน ณ ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว รวมทั้งสิ้น 4 รางวัล

1. รางวัลผลิตภัณฑ์ดูแลผิวยอดนิยม (Most Popular Vote in Skin Care) ได้แก่ SK-II Cellumination Essence EX จาก SK-II

2. รางวัลผลิตภัณฑ์แต่งหน้ายอดนิยม (Most Popular Vote in Make Up) ได้แก่ Diorskin Forever Fluid Foundation จาก Dior

3. รางวัลน้ำหอมยอดนิยม (Most Popular Vote in Fragrance) ได้แก่ Dior Addict Eau Sensuelle จาก Dior

4. รางวัลสุดยอดเคาน์เตอร์เครื่องสำอางที่โดดเด่นในด้านการให้บริการ (Most Popular Vote in Service) ได้แก่ เคาน์เตอร์เครื่องสำอาง SK-II


credit: http://women.sanook.com/

Monday, April 23, 2012

Jubilee - The Excellence collection

“Diamonds are a Girl's Best Friend” เห็นจะเป็นประโยคที่ถูกต้องและคลาสสิกตลอดกาล เพราะผู้หญิงกับเพชรน้ำงาม เป็นสิ่งที่ขาดกันไม่ได้ และว่ากันว่าเพชรแท้คือนางพญาแห่งอัญมณีทั้งมวล ไฉนเลยที่สาวๆ จะละเลยและไม่ไยดีอัญมณีทรงคุณค่าชนิดนี้


ด้วยตระหนักถึงความทรงคุณค่าของเพชร Jubilee (ยูบิลลี่) ผู้นำทางธุรกิจการจัดจำหน่ายเครื่องประดับเพชรและเพชรกะรัตในประเทศไทยมายาวนานกว่า 75 ปี จึงตอกย้ำความเป็นเลิศของเครื่องประดับเพชร ด้วยการจัดมินิแฟชั่นโชว์ เพื่อเปิดตัวเครื่องเพชรคอลเลกชั่นใหม่ “The Excellence” ที่มีแหวนเพชรเซอิส (SEIS) และแหวนเพชรเล็คกาซี่ (LEGACY) ที่มีความเป็นเลิศ 3 ประการ


ความเป็นเลิศ 3 ประการ ของเครื่องเพชร The Excellence ได้แก่
- ทั้งการออกแบบด้วยศิลปะชั้นสูงแสนประณีต
- การเลือกใช้ช่างฝีมือชั้นสูง
- รวมทั้งคุณภาพการเจียระไนเพชรอันเป็นเลิศ (Triple Excellence: 3EX cut-graded diamonds)

ซึ่งได้รับการรับประกันคุณภาพมาตรฐานจากสถาบันตรวจสอบคุณภาพเพชรที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก คุณค่าที่คู่ควรกับผู้หญิงยุคใหม่ โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤษติกา คงสมพงษ์ กรกนก ยงสกุล มีสุข แจ้งมีสุข พร้อมด้วยนางแบบและนายแบบชั้นนำ อาทิ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ ศศิกานต์ อภิชาตวรศิลป์ และภัครมัย โปตระนันทน์ ร่วมเปิดตัวสุดอลังการ ณ ห้องออเธอร์เล้าจ์ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล


คอลเลกชั่น The Excellence นี้รังสรรค์ด้วยเพชร D Color ที่ว่ากันว่าเป็นเพชรที่มีสีดีที่สุดในโลกเพราะขาวบริสุทธิ์ 100% ซึ่งจะมีแค่ 1 ใน 1,000 ของเพชรที่ค้นพบเท่านั้น โดยเพชรทุกเม็ดจะมีเหลี่ยมมุมเปล่งประกายสว่างไสวสมคำร่ำลือ นอกจากนี้ยังผสานการออกแบบที่สวยหรู นำสมัย เหมาะกับผู้หญิงยุคใหม่ที่รักความสง่างาม


โดยในปี 2012 นี้ สินค้าในคอลเลคชั่น ดิ เอ็กซ์เซลเล็นซ์ – The Excellence ประกอบด้วย

แหวนเพชรเซอิส (SEIS) เป็นแหวนเพชรแถวประดับเพชรเม็ดกลาง 6 เม็ด ผ่านการเจียระไนเพชรจากช่างฝีมือชั้นสูงระดับ Triple Excellence ฝังบนตัวเรือนทองคำและทองคำขาว สะท้อนความเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยรสนิยมโก้หรูและสง่างาม

แหวนเพชรเล็คกาซี่ (LEGACY) แหวนประดับเพชร 9 เม็ด ผ่านการเจียระไนเพชรจากช่างฝีมือชั้นสูงระดับ Triple Excellence ดีไซน์ทรงลูกบาศก์ (Cubic) ฝังเพชรบ่าข้าง 3 ที่ แถวเรียงตรงสมมาตรกันอย่างงดงามไร้ที่ติ สะท้อนความหรูหรา เจิดจรัส เหมาะกับสาวมั่นแห่งยุค 2012


นางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILEE ผู้จัดจำหน่ายและทำตลาดเพชรกะรัตและเครื่องประดับเพชร ภายใต้แบรนด์ “เพชรยูบิลลี่” กล่าวว่า “เพชร คือ เพื่อนที่ดีที่สุดของผู้หญิง ยังคงเป็นคำกล่าวที่สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย เพราะเพชรถือเป็นเครื่องประดับที่ทรงคุณค่า ทั้งทางด้านจิตใจและด้านมูลค่า ซึ่งเพชรที่ดีมีคุณภาพนั้น จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ และสร้างบุคลิกให้แก่สตรีผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี และเพื่อเป็นการเติมเต็มความมั่นใจให้กับผู้หญิงยุคใหม่ ในปีที่ผ่านมา เพชรยูบิลลี่ ได้รังสรรค์เครื่องประดับเพชรคอลเลคชั่น ดิ เอ็กซ์เซลเล็นซ์ – The Excellence ขึ้น โดยเครื่องประดับเพชรในคอลเลคชั่นนี้ สะท้อนความสมบูรณ์แบบ และความเป็นเลิศในสามด้าน ได้แก่ ความประณีตของการผลิตชิ้นงานด้วยความเชี่ยวชาญจากช่างฝีมือชั้นสูง การออกแบบที่เน้นความเลิศหรูอลังการสะท้อนความเป็นเลิศด้านฝีมืออันแสน ประณีตในทุกรายละเอียด และคุณภาพการเจียระไนเพชรอันเป็นเลิศ”




Wednesday, April 18, 2012

L'Eau d'Issey Pour Homme Sport น้ำหอมกลิ่นสปอร์ต

L'Eau d'Issey Pour Homme Sport น้ำหอมกลิ่นสปอร์ต

กลิ่นหอมสำหรับชายหนุ่มในหน้าร้อนนี้ต้องเป็นกลิ่นหอมแบบสไตล์สปอร์ตเท่านั้นจะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสดชื่น สดใสท่ามกลางแดดจ้าและฟ้าใส Issey Miyake นำเสนอน้ำหอม L’Eau D’Issey Pour Homme Sport ที่ผู้สร้างสรรค์ความหอม ฌาคส์ คาวาลิเยร์ (Jacques Cavallier) ให้คำนิยามในความหอมใหม่ครั้งนี้ว่า “เสียงสูดลมหายใจเข้า และออกอย่างลึกๆ แสดงถึงความพึงพอใจที่นักไต่เขาปีนขึ้นมาจนถึงจุดสูงจุด”


ฌาคส์ คาวาลิเยร์ นำเอาเสียงลมหายใจมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับ L’Eau d’Issey pour Homme Sport คือน้ำหอมแห่งลมหายใจ ลมหายใจแห่งชีวิต ที่จุดประกายและกำหนดทุกการเคลื่อนไหวจากท่วงท่าที่หยาบกร้านที่สุดไปจนถึงลีลาที่สละสลวย เริ่มต้นด้วยกลิ่นหมอแรกจากมะกรูดกับเกรฟฟรุ้ต นำความสดชื่นออกมาสู่ที่โล่งบนภูมิทัศน์พิกัดสูงสุด กลิ่นกลางพร่างพรายพลังเผ็ดร้อนแนวเครื่องเทศของเม็ดจันทน์เทศ บ่งบอกถึงอ้อมกอดแห่งชัยชนะ กลิ่นไอควันขึ้นมาจากรากของหญ้าเวติแวร์ หลอมรวมกับไม้หอมของซีดาร์ ถ่ายทอดบุคลิกความสง่าของโอ เดอ ทอยเลต์ แนวกลิ่นไม้หอมสดชื่นที่เติมเต็มสายผลิตภัณฑ์ L’Eau D’Issey Pour Homme Sport ด้วยพลังงานแห่งความกระปรี้กระเปร่า


รูปทรงของขวดน้ำหอมออกแบบโดย เรนาโต้ มอนตานเยร์ (Renato Montagner) สถาปนิกอิตาเลียน ผู้มีความชำนาญพิเศษในการออกแบบเครื่องกีฬา หรืออุปกรณ์การกีฬา เข้ากับคอนเซ็ปต์กลิ่นน้ำหอม ตัวขวดผลิตจากแก้วที่ผ่านกระบวนการพิเศษ ดูโปร่งใส และสะท้อนแสงเจิดจ้าเช่นเดียวกับผิวแก้วของแว่นกันแดดและลมในการสวมเล่นสกีหิมะ ฝาครอบชวนให้นึกถึงวัตถุดิบที่นำมาใช้เพื่อรับประกันความมั่นใจในแง่ของความแม่นยำ พิถีพิถัน และอำนวยต่อการควบคุมของอุปกรณ์การกีฬาและยังแต่งเติมแถบเส้นสีน้ำเงิน สัญลักษณ์แห่งความสดชื่น เบิกบานใจ


credit: http://men.mthai.com/

Monday, March 5, 2012

เทรนด์การแต่งหน้า มาแรง ซัมเมอร์ 2012 Beauty Hall “Now Go Chic and Freak Out”

กูรูแต่งหน้ามือหนึ่งเมืองไทย "กมล ฉัตรเสน" เผยเทรนด์แต่งหน้าปี 2012 คุณกมล ฉัตรเสน กูรูด้านการแต่งหน้ามือหนึ่งของเมืองไทย ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการแต่งหน้ามากว่า 30 ปี เจ้าของพ็อกเกตบุ๊ก The Make Up มาให้ความรู้เรื่องเทรนด์การแต่งหน้าของปี 2012

สำหรับเทรนด์การแต่งหน้าของปี 55 อาจจะไม่เปลี่ยนอะไรมากนะคะ แต่จะมีแนววินเทจกลับมาเยอะ เพราะว่าเสื้อผ้ายังย้อนกลับมาปี 70 80 เลยนะคะ เพราะฉะนั้นหน้าก็จะย้อนกลับมาเหมือนกัน อย่างการเขียนอายไลเนอร์, การติดขนตาปลอม, การทาปากสีแดง สีเข้ม ก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่งค่ะ ซึ่งเทรนด์นี้จะมาจากทางตะวันตก เพราะเสื้อผ้าก็จะกลับมาแนวใส่เสื้อสูท ไหล่กว้าง หนุนไหล่ เสื้อก็จะมีปักเลื่อมๆ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหน้าเนี่ย ก็จะย้อนกลับมาเหมือนกัน แต่ว่าอาจจะเอามาแต่กลิ่นของมัน ไม่ได้เอากลับมาทั้งหมด

อย่างการแต่งหน้าคราวนี้ บางคนอาจจะเน้นที่อายไลเนอร์เส้นใหญ่ หรือบางคนอาจจะเน้นแต่งเข้มแต่คิ้วอาจจะโตขึ้น ตรงนี้ก็แล้วแต่ ส่วนอายไลเนอร์ และสโมกกี้อายก็ยังอยู่ เพราะตรงนี้เป็นอะไรที่ปกติ ที่คนไทยหรือคนส่วนใหญ่ใช้กันอยู่แล้ว แต่คนที่จะแต่ง ก็ควรจะใส่เสื้อผ้าแนววินเทจนิดๆ ส่วนสีอย่างที่บอก ก็จะมีทั้งลิปสติกสีแดง สีส้มจัดๆสีชมพูจัดๆ หรืออาจจะเป็นสีนูดเพียวๆไปเลย หรืออยู่กับการแต่งหน้าโดยรวม เช่น การที่เราแต่งตาเข้มๆ ปากเราอาจจะสีทึบ การทาตาต้องเข้ากับสีชุดเหมือนในยุค 80 เสื้อผ้าสีม่วง ทาตาสีม่วงหรือปากสีนู้ดๆ ก็ได้ ปีนี้สีออกแนวธรรมชาติก็ยังอยู่แต่ก็ไม่ถึงกับเหมือนปีที่แล้ว คือการลองพื้นจะดูเบาบางเป็นธรรมชาติจริง แต่จะเน้นที่ลิปสติก เน้นที่คิ้วแทน

สุดท้ายสำหรับคนที่ชอบแต่งหน้า อยากจะฝากว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เราต้องดูแลบำรุงผิวที่ดี เพราะคนที่ผิวดีจะทำให้การแต่งหน้าดูสวย สังเกตดีๆ การแต่งหน้าจะมีความเงาๆ ด้วยผิวที่มีความใส ไม่ใช่เงาด้วยกริตเตอร์ เพราะฉะนั้น การที่เรามีผิวดี รูขุมขนเล็ก ไม่มีริ้วรอยและสิวฝ้า จะช่วยทำให้การแต่งหน้าเราง่ายขึ้น และสวยขึ้นแบบธรรมชาติด้วยค่ะ

เทรนด์การแต่งหน้า มาแรง ซัมเมอร์ 2012
Beauty Hall “Now Go Chic and Freak Out”

เป็ด-อภิชาติ นรเศรษฐาภรณ์ กล่าวว่า สำหรับเทรนด์การแต่งตาที่มาแรงที่สุดในซัมเมอร์นี้ คือ "Gold Lust" เทรนด์สีทองสุดเปรี้ยว โดยเทรนด์เมกอัพสีทองสามารถใช้แต่งตา หรือจะเลือกใช้สีทองมาประดับบนใบหน้าจุดใดจุดหนึ่งก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว เส้นอายไลเนอร์ เปลือกตา โหนกแก้ม หรือริมฝีปาก หรือจะนำเอาทองคำเปลวมาเล่นได้เลย อาทิ ติดที่เรือนผม หรือริมฝีปาก และเปลือกตา ถ้าเป็นคนที่มีความมั่นใจสูง และคิดว่าการแต่งหน้าทุกครั้งเป็นเรื่องของความสุข ความสนุก คุณสามารถเอาออยล์ขยี้กับทองคำเปลว หรือกลิตเตอร์บนฝ่ามือ หรือพิกเมนท์สีทองแล้วทาลงบนผิวก็ได้

อั๋น-สรวุฒิ ฉัตรกุล ณ อยุธยา กล่าวว่า สำหรับเทรนด์การเมกอัพปากรับซัมเมอร์นี้ ได้แก่ "Lips Lock" ปลดล็อกการทาลิปสติกสีเดียวแบบเดิมๆ สู่การใช้สีทูโทนให้ปากบนและล่างคนละสีกัน" เทคนิคพิเศษคือการใช้ลิปสติกสีส้มนู้ดทาริมฝีปากบน และสีแดงทาที่ริมฝีปากล่าง โดยลงคอนซีลเลอร์ก่อน เพื่อปกปิดรอยคล้ำที่ปาก จากนั้นก็ลงแป้งที่มีประกายชิมเมอร์ที่ขอบริมฝีปากเล็กน้อยเพื่อให้ปากดูเจิดมากขึ้น สำหรับคนที่มุมหยักของปากไม่สวย หรือปากคล้ำการลงชิมเมอร์ก็จะช่วยได้ ทำให้ดูมีมิติมากขึ้นด้วย จากนั้นใช้ลิปสติกสีอ่อนทาที่ริมฝีปากบนก่อน ดูให้พอดีๆ อาจจะไม่ต้องทาเต็มขอบปากก็ได้ ส่วนริมฝีปากล่างก็ทาให้อิ่มเท่าปากบนโดยใช้สีแดงส้ม และใช้ลิปสติกสีแดงเข้มแต้มที่ริมฝีปากด้านในอีกทีเพื่อไล่น้ำหนักเพิ่มมิติ จากนั้นตบท้ายด้วย Lip Sealer เพื่อให้สีของลิปสติกติดทนนาน

โมเม-นภัสสร บุรณศิริ กล่าวว่า เพื่อต้อนรับหน้าร้อนนี้ โมเมขอเผยเทคนิคการแต่งคิ้วสุดชิค "Brow Pow" ด้วยคิ้วสี Bold Bold ที่สามารถแต่งได้เองแบบง่ายๆ เพื่อให้สาวๆ สามารถจดจำ และนำไปแต่งคิ้วรับหน้าร้อนที่เจิดจ้าได้ อย่างไม่มีพลาด ดังนี้ ใช้ดินสอแท่งยาววัดจากปีกจมูกด้านในตั้งตรงขึ้นผ่านคิ้วไป จุดนั้นคือหัวคิ้ว จากนั้นเอียงแท่งดินสอวัดจากปีกจมูกด้านในทาบผ่านขอบลูกตาด้านนอก จรดคิ้ว จะได้มุมหักของคิ้ว และทาบจากปีกจมูกด้านนอก ผ่านหางตาขึ้นไป จะได้หางคิ้ว วิธีการเขียนคิ้วคือใช้ดินสอหรือแปรงเขียนคิ้วไล่แนวคิ้วเป็นสโตรคให้เหมือนขนคิ้ว และเริ่มเขียนจากมุมหักของคิ้วไปจะถึงหางคิ้วก่อน เพราะจะเป็นส่วนที่ขนคิ้วบางกว่าช่วงหัวคิ้ว จากนั้นค่อยใช้แปรงที่มีสีผลิตภัณฑ์เหลืออยู่มาปัดที่หัวคิ้ว จะได้คิ้วที่กำลังพอดี โดยคิ้วเป็น sisters ซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ twins การที่คิ้วไม่เท่ากันไม่ใช่เรื่องประหลาด เพราะฉะนั้นไม่ควรพยายามฝนคิ้วให้เท่ากันเป๊ะ เพราะมันเท่ากันได้ยากมาก

ฟลุค-รพี ชูสุวรรณ บิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดัง ได้อัพเดตเทรนด์ "Cheek-A-Boo" หรือเทรนด์การปัดแก้มให้สวยระเรื่อแดด" รับฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึงว่า "สำหรับการเมกอัพแก้มให้สวยใสทั้งใบหน้าสำหรับช่วงหน้าร้อนนี้ เทคนิคสำคัญอยู่ที่คือการเน้นการสร้างมิติให้กับแก้ม โดยใช้ถึง 4 สี เพราะโดยส่วนใหญ่ผู้หญิงมักจะปัดแก้มแค่เพียงสีเดียว ซึ่งอาจจะไม่ได้สร้างมิติอะไรมากนัก เริ่มจากการใช้สีค่อนข้างอมน้ำตาลเป็นสีที่ทำให้เกิดเงาบนใบหน้า จากนั้นก็ลงสีที่เฉดอ่อนมาหน่อยในโทนน้ำตาล แล้วเบลนด์ให้ดูซอฟท์ลง จากนั้นลงสีชมพูเลย เน้นไปที่ช่วงหน้าแก้ม เพื่อให้แก้มดูสุขภาพดี ดูเป็นธรรมชาติ โดยลุคการปัดแก้มสไตล์นี้ เป็นการแต่งหน้าแบบกลางๆ เหมาะกับทุกรูปหน้า"


credit:
http://women.sanook.com/947576/beauty-hall-now-go-chic-and-freak-out/
http://www.siamdara.com/Hiso/111227_05525.html


Tuesday, February 7, 2012

“วิเวียน เวสต์วูด” (Vivienne Westwood) เธอคือ กบฎแห่งวงการแฟชั่น

ชีวิตเธอได้บอกอะไรแก่เรา? (นอกจากเป็น“แฟชั่นดีไซเนอร์”ระดับโลก)

วิเวียน เวสต์วูด (Vivienne Westwood) ชื่อจริงคือ Vivienne Isabel Swire
เกิดเมื่อ 8 เมษายน 1941 ที่เมืองGlossop, Derbyshire เป็นดีไซเนอร์ ในแนวพังค์ร็อก และนิวเวฟ และเป็นผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในวงการแฟชั่นระดับโลก นับตั้งแต่ยุค 70 เป็นต้นมา ในช่วงของยุค "พังค์"(Punk) เสื้อผ้าของเธอได้ร่วมกับ Malcolm McLaren ผู้จัดการวงดนตรีพังค์ร็อก ที่ชื่อ “เซ็กซ์ พิสทอลส์” (Sex Pistols)*** เสื้อผ้าและสไตล์แฟชั่นโลกก็ถูกกำหนดโดยเอ จากการสวมใส่ของนักดนตรีในวง ทำให้เธอเริ่มมีชื่อเสียง ในปี 1970 เป็นต้นมา...

เธอเป็นเด็กสาวชาวอังกฤษ แม่เป็นช่างทอผ้าในโรงงานท้องถิ่น พ่อมาจากครอบครัวช่างทำรองเท้า เธอก้าวเดินออกมาจากครอบครัวของชนชั้นกรรมาชีพหรือผู้ใช้แรงงาน(กรรมกร)ด้วยความสนใจในวงการแฟชั่น ไปเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยการศิลปะแห่งแฮร์โรว์ โดยเลือกวิชาแฟชั่นและการทำเครื่องเงิน แต่เรียนได้เพียงแค่เทอมเดียวก็ลาออก เมื่อย้อนมองกลับไปกลับมาถึงอนาคตของตัวเองก็พบว่า มันคงไม่มีที่ยืนให้แก่ เด็กสาวจากชนชั้นกรรมกรแบบเธออย่างแน่นอน ในเมื่อวงการแฟชั่นนั้นมันเป็นเรื่องราวก็เฉพาะแต่ในชนชั้นสูงเท่านั้น

เหตุผลที่ว่านั้นคือ "ไม่รู้ว่าเด็กสาวพื้นเพชนชั้นกรรมกรอย่างฉัน จะมีปัญญาทำมาหากินอะไรได้ในโลกศิลปะ" กลายเป็นจุดเริ่มต้นการต่อต้านความอยุติธรรมในระบบชนชั้นของเมืองผู้ดี จึงเป็นที่มาของคำว่า “Anarchy” ดังที่ปรากฎอยู่ในอัลบั้มเพลงของ Sex Pistols เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสไตล์ที่เหล่านักร้องวงนี้สวมใส่

ดนตรีและแฟชั่นแนว"พังก์"ในยุค 70 นั้น เป็นสัญลักษณ์การต่อต้านความคิดของคนยุคเก่าที่ยึดติดกับระบบชนชั้นของสังคมอังกฤษ โดยเกิดจากแรงผลักดันของวัยรุ่นสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงานดนตรีและแฟชั่นที่มีเนื้อหากบฏต่อสังคม สิงที่นำเสนอมิใช่เพียงแค่ภาพของการแต่งตัวที่ฉีกกฎออกไปจากเดิมเท่านั้น แต่เป็นการนำสังคมก้าวเดินออกจาก"ทัศนคติเดิมๆ"

ตั้งแต่นั้น เธอก็ทำให้ผู้คนในสังคมโลกต่างก็ต้องจับมองที่ตัวเธอในทุกย่างก้าวแทนแฟชั่นดีไซเนอร์คนอื่นๆ

วิเวียนใช้พลังที่การถูกสังคมครอบงำและกดดันในตัวเอง แปรเปลี่ยนเป็นพลังทางความคิดสร้างสรรค์ และหาญกล้าท้าทายต่อกรอบประเพณีของสังคมเดิมๆ

เมื่อการแต่งกายแบบพังค์ถึงจุดอิ่มตัวในช่วงปลายทศวรรษ 70 ก็เป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง เธอศึกษาค้นคว้าเพื่อหาสไตล์ของตัวเองอีกครั้ง ด้วยการนำ 2 คอลเลคชั่นมารวมกันเป็นหนึ่ง เป็นแนวทางการก้าวเดินต่อไปของอาชีพการเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์อย่างชาญฉลาด

นั่นเท่ากับเป็นการสร้าง “แคทวอร์ค” ให้เธอมีทางก้าวเดินต่อไปในวงการแฟชั่นนั่นเอง ไม่ใช่ทำเพื่อใคร...!

ในปี 1984 วิเวียน นำเอารูปทรงรัดรูปของเสื้อผ้าสตรีสมัยก่อนมาตัดทอน และดัดแปลงในคอลเลคชั่นใหม่ พร้อมรองเท้าส้นตึกสูง 6 นิ้วขึ้นไป (กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเธอไปโดยปริยาย) ด้วยเหตุผลว่า รองเท้าส้นสูงนั้นช่วยให้ช่วงขาดูยาวขึ้น และทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ในการอำพรางสัดส่วนอื่นให้ดูดีตามไปด้วย

รองเท้าส้นตึก ที่เธอออกแบบ ก็ทำให้เธอเองได้พบสัจธรรม เมื่อครั้งนางแบบดังอย่าง "นาโอมิ แคมเบลล์" ถึงกับตกส้นตึกของวิเวียนกลางแคตวอล์ก

"แฟชั่นเหมือนกับการไต่อยู่บนราวสูง เสี่ยงต่อการอับอายถ้าร่วงลงมา แต่ถ้ายังเดินต่อไปได้นั่นคือ ชัยชนะ"

ไม่กี่ปีถัดมา วิเวียนนำชุด"คอร์เส็ต" (Corsets) ซึ่งเป็นชุดชั้นในสาวสังคมชั้นสูงในยุควิกตอเรียนที่รัดให้เอวคอดกิ่วและมีหน้าอกที่ใหญ่นูนขึ้น แต่ได้ถูกยกเลิกไปเพราะถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์การกดขี่ทางเพศ วิเวียนนำมาปรับแก้โดยเย็บด้วยการใช้ผ้ายืดให้มีการใส่สบาย และดัดแปลงให้ใส่ได้ทั้งข้างในและข้างนอก แล้วตั้งชื่อคอลเลกชั่นแบบประชดประชันแนวคิดเฟมินิสต์ว่า “the Statue of Liberty Corset” (เทพีเสรีภาพคอร์เส็ต)

"คริโนลีน" กระโปรงสุ่มไก่ในแบบชุดราตรี สัญลักษณ์ความงามสง่าของสาวยุควิกตอเรียน แต่ไม่เป็นที่นิยม นำมาแก้ไขด้วยการตัดให้สั้นลงเป็นชุดลำลองใส่ไจริงทุกโอกาส และเปลี่ยนโครงเสียใหม่ให้สามารถบิดพับกลับเข้ารูปได้โดยไม่เสียทรง และต่อยอดด้วยการใส่ซับในซ้อนเข้าไป เพื่อเพิ่มความพลิ้วไหวเมื่อย่างเท้าก้าวเดินจนกลายเป็นเอกลักษณ์ชุดกระโปรงสั้นของวิเวียนจนทุกวันนี้

มาถึงวันนี้...และสาเหตุนี้คงไม่ต้องบอกว่า เพราะเหตุใด วิเวียน เวสต์วูด เธอจึงได้กลายเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลต่อวงการแฟชั่นโลกไปเสียแล้ว

"กล้าที่จะยืนนอกกรอบ แล้วบอกว่านี่คือ สิ่งที่ฉันต้องการ" เป็นอย่างที่วิเวียน เวสต์วูด เธอบอก

"เหตุผลเดียวที่ฉันอยู่ในวงการแฟชั่น ก็เพื่อใช้เสื้อผ้าที่ฉันออกแบบ ต่อต้านและทำลายความยึดมั่นในระบบเดิม" วิเวียน เวสต์วูด ถูกกล่าวถึงว่า เธอคือ กบฎแห่งวงการแฟชั่น

วิเวียน เวสต์วูด เธอเป็นตัวอย่างที่หาญกล้าออกมายืนท้าทายความคิดของผู้คนในสังคม ในโลกแห่งแฟชั่นแล้ว จนเกิดเป็นแนวแฟชั่นการแต่งกายแบบใหม่ ไฉไลตามแบบฉบับของตัวเอง จนคนอื่นต้องไฉไลตามเธออย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ดังที่เราเห็นเกลื่อนตาตามท้องถนนรนแคม บางคนไม่รู้ที่มาที่ไปในแฟชั่นที่ตนเสพใส่ ทั้งที่แท้ที่จริงมันคืออาภรณ์ที่สะท้อนถึงความเป็นตัวตนของผู้ใส่เสียเอง

ไม่ต่างอะไรไปจากนักเขียนที่ต้องกล้าหาวิถีทางใหม่ๆ ให้แก่ตัวเอง และก้าวออกไปเป็นผู้นำ และก็ไม่ต่างอะไรไปจากการเสพ “หนังสือที่คุณอ่าน” เพราะต่างก็คือ อาภรณ์ของความคิด....

วิเวียน เวสต์วูด พูดแบบเอามือลูบหน้าบรรดาศิลปินทั้งหลาย แล้วตบอย่างเบาๆ ว่า ...."งานของฉันคือ การประจันหน้ากับสถาบันทางสังคม พยายามค้นหาว่าอิสรภาพของฉันเองอยู่ที่ไหน และทำอย่างไรเพื่อให้ได้มันมา"

แม้เสื้อผ้าของวิเวียน เวสต์วูด หลายชิ้นอาจถูกวิจารณ์ว่า "ใส่จริงไม่ได้" ทั้งความแปลกของวัสดุ ลวดลาย สัดส่วนโครงสร้าง และแพตเทิร์นการตัดเย็บ แต่เธอก็มีมุมมองว่า

"เสื้อผ้าของฉันอาจดูนอกลู่นอกทาง เพียงเพราะผู้คนไม่ได้คาดคิด แต่สิ่งที่ฉันทำก็เพื่อประณามความจืดชืดและความน่าเบื่อของแฟชั่นธรรมดาเหล่านั้น"

บทความนี้ไม่อาจมีเขียนบทสรุปอะไรมากไปกว่าที่ วิเวียน เวสต์วูด ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้นแล้ว


*** บีบีซี ยกย่องวง Sex Pistols ว่า "เป็นที่สุดของพังค์ร็อกในอังกฤษ"


ลิงก์อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://www.vam.ac.uk/vastatic/microsites/1231_vivienne_westwood/biography1.html



credit: http://www.oknation.net/
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...